20 July 2006

มองการพนันเชิงบวก


มองบ่อนการพนันเชิงบวก: ทรรศนะในการพัฒนาสู่โลกเสรีนิยม
โดย พัชร์ นิยมศิลป[1]
การพนันในสังคมชาวไทยอยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน การพนันจัดได้ว่าเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการชนไก่ กัดปลา บ่อนเบี้ย ทอยลูกเต๋า อันจะพบได้จากวรรณคดี หรือพงศาวดารในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้นี้ แม้ว่าเราจะนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแต่การพนันก็ยังฝังรากลึกในสังคมชาวไทย แม้กระทั้งสงฆ์บางรูป(โดยเฉพาะที่ขึ้นชื่อว่าใบ้หวยแม่น)ใช้การพนันเป็นเหตุจูงใจให้คนเข้าวัด หรือคนบางพวกที่เข้าวัด คนเหล่านั้นเข้าวัดไปเพราะอยากทำบุญหรืออยากได้เลขเด็ดไปแทงหวย
เมื่อกล่าวถึงการพนัน เรามักมองการพนันเป็นเรื่องไม่ดี เป็นอบายมุข6 ที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้หลีกหนีให้ห่างไกล ผู้เขียนก็เชื่อว่าการพนันสามารถทำให้คนที่เคยขยันทำมาหากินกลายเป็นคนหมดเนื้อหมดตัว การพนันเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรมอีกหลายต่อหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาทางจริยธรรม ปัญหาผู้มีอิธิพล ยาเสพติด ค้าของเถื่อน ฯลฯ ประเทศเราจึงได้มีกฎหมายควบคุมการพนันคือ พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ห้ามการเล่นการพนันหลายชนิด แต่ก็มีข้อยกเว้นคือหากได้รับอนุญาตชั่วคราวจากตำรวจ ระยะเวลาไม่เกิน 1 วัน ซึ่งจะเป็นโอกาสพิเศษต่างๆเช่น งานวัด มหกรรมสังสรรค์ เทศการงานรื่นเริง เป็นต้น โดยประเภทการพนันที่ตำรวจสามารถอนุญาตให้เล่นได้ก็จะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
หากเราพิจาณาว่าจุดประสงค์ของการพนันแท้จริงคือ ความบันเทิง ความสนุกสนาน การแก้ปัญหาการพนันที่แท้จริงคือการปรับมุมมองของนักพนัน ของประชาชนทั่วไปให้มองเห็นการพนันเป็นเพียงกิจกรรมบันเทิงอย่างหนึ่ง ไม่ใช่มองว่ามันเป็นการทำกำไรโดยอาศัยโชควาสนา หรือมองว่าเป็นโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเอง ที่ผ่านมารัฐบาลได้กำหนดให้การพนันเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่งที่รัฐจะต้องดำเนินการปราบปราม แต่ไม่ว่าจะสูญเสียงบประมาณไปเท่าไร เสียทรัยากรบุคคลไปเพียงใดก็ไม่สามารถขจัดปัญหาการพนันใต้ดินให้หมดไปจากสังคมไทยได้ คนไทยก็ยังคนเล่นการพนันโดยไม่จำกัดชนชั้นไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือจะมีการศึกษาหรือไม่ หรือจะจริงที่ว่ากันว่าการพนันเป็นหนึ่งในพฤติกรรมถาวรของสังคมไทยไปเสียแล้ว
โทษของการพนันนั้นผู้เขียนขอละไม่กล่าวถึงเนื่องจากทุกวันนี้ก็มีการรณรงค์ไม่ให้เล่นการพนันกันอยู่ สิ่งที่ผู้เขียนอยากเสนอคือ คุณค่าของการพนันที่หลายๆคนอาจจะมองข้ามไปหรือหลายๆคนอาจจะรับไม่ได้เพราะการพนันมันขัดกับหลักศาสนาอยู่ในตัวอยู่แล้ว กระนั้นก็อยากขอให้หันกลับมาดูในอีกแง่มุมโดยประหนึ่งว่าการพนันเป็นหน้าที่ของรัฐ (ผู้เขียนจะสมมุติว่าการพนันเป็นบริการสาธารณะอย่างหนึ่งที่รัฐควรจัดให้มี โดยเปรียบเทียบกับ การที่ฝรั่งเศสจัดให้การกีฬาเป็นบริการสาธารณะประเภทวัฒนธรรม)[2] ที่ให้รัฐเข้ามาจัดการบริการสาธารณะประเภทนี้นอกจากจะเป็นการจัดการทางวัฒนธรรมแล้วก็ยังมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เงินรั่วไหลออกนอกประเทศอีกด้วย
ข้อดีของการให้รัฐจัดการพนันในมิติด้านเศรษฐกิจและได้แก่ รัฐจะสามารถหารายได้อย่างมหาศาลจากฐานการพนันที่สร้างขึ้น อันจะเห็นได้จากรายได้ของกองสลากในแต่ละเดือนที่ส่งให้แก่รัฐบาลเพื่อการบริการประเทศ ดังต่อไปนี้[3]
ปีงบประมาณ 2545 = 5,456.17 ล้านบาทปีงบประมาณ 2546 = 7,504.82 ล้านบาทปีงบประมาณ 2547 = 8,872.30 ล้านบาท
รายได้ที่ได้มาก็จะนำมาพัฒนาสังคม นอกจากนั้นยังเป็นการป้องกันเงินไม่ให้ออกนอกระบบไปสู่ธุรกิจใต้ดิน และเมื่อเงินอยู่ในระบบก็จะส่งผลให้ผู้มีอิธิพลขาดรายได้และถอนตัวออกจากระบบตลาดไป เพราะเหตุนี้องค์กรอาชญากรจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหากรัฐเข้ามาจัดการพนันเสียเอง

ดร.วิบูลย์แช่มชื่นประธานคณะอนุกรรมการศึกษาปัญหาพื้นที่ชายแดน คณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาได้ให้สัมภาษณ์ในนิตยสารสารคดี (ปีที่17 ฉบับที่198 สิงหาคม 2544) ไว้ดังนี้ “ปัจจุบันมีบ่อนกาสิโนที่ถูกกฎหมาย อยู่รอบ ๆ บ้านเรา 22 แห่ง มีคนเข้าไปเล่นแห่งละ 700-1,000 คนต่อวัน ถ้าคำนวณจากบ่อนตามแนวชายแดนกัมพูชาราว 10 แห่ง ก็จะมีคนเล่นวันละ 1 หมื่นคน วงเงินคนละประมาณ 5 หมื่นบาท ก็จะมีเงินหมุนเวียนในบ่อนตกประมาณ 500 ล้านบาทต่อวัน นี่คิดเฉพาะชายแดนกัมพูชาเท่านั้น ถ้ารวมชายแดนมาเลเซีย พม่า และลาวแล้ว เงินจะไหลออกนอกประเทศไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาทต่อวัน และไม่น่าจะต่ำกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปีถ้ารวมการพนันทุกประเภท ขณะนี้ในประเทศไทยมีสถานการพนันเถื่อนอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ยังควบคุมไม่ได้ มีการลักลอบเล่นการพนันกันอย่างผิดกฎหมาย ถ้าเราทำให้มันถูกกฎหมายเสีย ก็จะควบคุมได้มากกว่า จะสามารถลดหรือกำจัดระบบส่วยที่เจ้าของธุรกิจต้องจ่ายให้แก่ตำรวจเจ้าหน้าที่เจ้าพ่อหรือพวกที่มีอิทธิพลลงได้” นอกจากนั้นยังกล่าวอีกว่า “ข้ออ้างที่ว่าเป็นการส่งเสริมให้ทำผิด หรือขัดกับหลักศาสนานั้น ก็น่าคิด แต่คนที่เล่นยังไงก็เล่นอยู่แล้ว คนที่ไม่เล่นยังไงก็ไม่เล่น ขึ้นอยู่กับระบบการศึกษา และค่านิยมของพ่อแม่ ครอบครัว การปลูกฝัง ประเทศที่เขานับถือศาสนาเคร่งครัดอย่างอิสลาม เขาก็ยังอนุญาตให้เปิดได้ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร หรือจะมีปัญหาเฉพาะคนไทยคนพุทธ ปัจจุบันมีประมาณ 128 ประเทศที่เปิดให้มีสถานกาสิโนถูกต้องตามกฎหมาย ประเทศเหล่านี้ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด เขาก็อนุญาตให้เปิดกาสิโนอย่างถูกกฎหมาย สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาล ทำประโยชน์มากมายให้แก่สังคม ”
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างในประเทศมาเลเซียซึ่งมีบ่อนการพนันที่ชื่อว่า Genting Highland สถานพนันแห่งนี้อยู่บนยอดเขาสูงนอกเมืองกัวลาลัมเปอร์ หากจะเรียกว่าเป็นบ่อนการพนันอย่างเดียวคงไม่ถูกนักเพราะที่เก็นติ้งไฮแลนด์นี้มีทั้งสวนสนุก สวนน้ำ โรงแรม ร้านอาหาร สนามกอล์ฟ ผู้เขียนเชื่อว่า เก็นติ่งไฮแลนด์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลักๆของกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเป็นจุดหมายของนักพนันจากเมืองไทยด้วย
ประเทศมาเลเซียมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติและการพนันก็เป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักศาสนา จุดที่น่าสังเกตคือทำไมเขาจึงอนุญาตให้มีบ่อนการพนัน คำตอบก็คือ เขามีมาตรการในการห้ามไม่ให้ชาวมุสลิมเข้าไปพนัน ดังนั้นเราก็ตีความได้ชัดเจนว่าการพนันที่เขาสร้างขึ้นก็เป็นไปเพื่อดูดเงินนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นเป้าหมายหลักและผู้มีเงินต่างศาสนาในประเทศ เหตุที่ผู้เขียนสรุปดังนี้ก็เนื่องจาก คือ ตำแหน่งที่ตั้งบ่อนอยู่บนยอดเขายากแก่การเข้าถึง ที่พักในบริเวณใกล้เคียงก็ถูกผูกขาดโดยบริษัทที่เข้ามาบริหารค้าใช้จ่ายจึงสูงกว่าปรกติ การกำหนดเช่นนี้จะทำให้ผู้ที่มีรายได้ไม่มากไม่สามารถเข้าถึงบ่อนได้ ฉะนั้นบ่อนการพนันในสายตารัฐบาลมาเลเซียก็คือเครื่องมือในการหารายได้ให้ ทั้งยังเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยว สร้างการจ้างงานและนำความเจริญสู่พื้นที่อีกด้วย
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยจัดว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างรายได้หลักให้แก่ประเทศ สิ่งเป็นจุดขายได้แก่ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันสวยงาม วัฒนธรรมประเพณี ตลอดจนสินค้าหัตถกรรมที่ประณีตแต่สิ่งที่เราขาดคือการสร้างแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก(world class) ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น สวนสนุกดิสนีแลนด์ ชิงช้าสวรรค์ลอนดอน(London eye) โรงแรมหรูในลาสเวกัส เป็นต้น หากเราจะผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ไทยเป็นเป้าหมายการท่องเที่ยว เราก็จะต้องสร้างสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว(ที่นอกจากพัฒพงษ์และพัทยา) เอาไว้ด้วย ซึ่งแน่นอนหนึ่งในนั้นคือ บ่อนการพนัน
แนวคิดเช่นนี้มิได้เกิดในประเทศมาเลเซียเท่านั้น ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาก็จัดให้มีบ่อนการพนันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยสร้างติดกับชายแดนเพื่อเป็นการสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวไทยในการไปเล่นการพนัน การประมาณการค่าใช้จ่ายของคนไทยในบ่อนการพนันในต่างประเทศเพิ่มเติม ในการศึกษาปี พ.ศ.2544 ประมาณการเงินที่ลูกค้าคนไทยนำไปเล่นที่บ่อนการพนันที่กาสิโนชายแดน 34 แห่ง และกาสิโนต่างประเทศ เช่น ที่ออสเตรเลีย ลาสเวกัส มาเก๊า นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ว่าอยู่ในราว 71,000-84,000 ล้านบาทต่อปี และนักวิจัยประมาณการว่าลูกค้าคนไทยขาดทุนในราวร้อยละ 20 หรือราว 14,000-17,000 ล้านบาทต่อปี[4] จากตัวเลขที่เห็นนับว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก หากรัฐบาลสามารถรักษาเงินจำนวนดังกล่าวให้อยู่ในประเทศได้ก็จะเป็นผลดีต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ผู้เขียนเชื่อว่าหากเรามีกระบวนการจัดการพนันที่เป็นระบบเป็นระเบียบ เราก็สามารถเปลี่ยนโทษเป็นคุณได้ และอาศัยการพนันเป็นอาวุธเพื่อสู้กับการต่อสู้บนเวทีการค้าเสรี ในอนาคตทุกๆประเทศต่างก็แข่งขันกันอย่างเท่าเทียมกัน ประเทศเรามีชื่อเสียงในด้านการบริการแล้วทำไมเราถึงไม่ใช้จุดแข็งของเรา
หากสังคมไทยยังรับไม่ได้กับการเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศ ผู้เขียนขอเสนอว่าเราควรสร้างโครงการทดลองโดยกำหนดให้เป็นบ่อนเฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้น โดยเลือกพื้นที่ให้ห่างไกลจากชุมชน และสร้างเป็นศูนย์การบันเทิงครบวงจร(Entertainment Complex) รัฐในฐานะผู้จัดการบริการสาธารณะอาจร่วมทุนกับเอกชนดำเนินการ จากนั้นก็ศึกษาข้อดี-ข้อเสีย แล้วจึงมาทำประชาพิจารณ์ การทำเช่นนี้จะได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ประมาณการณ์
อย่างไรก็ดีหากเราอนุญาตให้มีบ่อนการพนัน รัฐก็ควรจัดให้มีองค์กรที่จัดการและให้ความรู้เกี่ยวกับการพนันสำหรับชาวไทยซึ่งอาจจัดตั้งขึ้นมาในรูปคณะกรรมการอยู่ในหน่วยงานของรัฐ เป็นต้นว่า คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานกิจการกาสิโน คณะกรรมการกลั่นกรองผู้ที่จะเล่นการพนัน ผู้ที่จะเขาเล่นพนันจะถูกตรวจประวัติและคุณสมบัติเสียก่อน เช่น อายุ รายได้ ประวัติอาชญากรรม สถานภาพ เป็นต้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการเล่นพนันจนหมดเนื้อหมดตัวและไม่ให้คิดว่าเล่นการพนันไปเพื่อทำกำไร นอกจากนั้นรัฐจะต้องป้องกันคนที่มีรายได้ต่ำหรือนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ไม่มีรายได้ ไม่ให้เข้าสู่วงจรการพนันที่รัฐจัด นอกจากการป้องกันในขั้นต้นแล้วการจัดให้มีองค์กรที่ทำการเยียวยาหรือให้คำปรึกษาจากผู้ที่เสพติดการพนันเพราะเมื่อรัฐจัดให้มีการพนันแล้ว ผลเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมดรัฐก็จะกลายเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง กล่าวโดยสรุปก็คือเมื่อรัฐจะจัดให้มีกาสิโนแล้วก็ควรที่จะจัดการรักษาผลเสียของกาสิโนที่เกิดขี้นในภายหลังด้วย นอกจากนั้นสิ่งที่น่ากลัวอีกประการหนึ่งของบ่อนการพนันของรัฐคือ การฟอกเงิน เราต้องจัดระบบป้องกันไม่ให้บ่อนการพนันของรัฐกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆไป
ในบ้านเราประเด็นเรื่องการเปิดเสรีบ่อนกาสิโนถือว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่เถียงกันไม่จบวิพากษ์วิจารณ์กันมาอย่างยาวนาน แต่ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อมีการนำเอาหวยใต้ดินขึ้นมาเป็นสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว เมื่อครั้งหวยใต้ดินเป็นปัญหามากแล้วรัฐบาลจะจัดให้มีหวยชนิดนี้ สังคมก็ออกมาวิพากษ์กันอย่างกว้างขวาง เหตุผลหลักๆ ที่นำมาคัดค้านก็เหมือนกับที่เอามาเป็นข้ออ้างในกรณีบ่อนเสรีเหมือนกัน วันนี้สลากเลขท้ายทำกำไรให้กับรัฐมากมายหากจะถามว่าคนซื้อหวยเพิ่มขึ้นหรือไม่ก็คงตอบกันไม่ถูก แต่สิ่งที่รู้ๆ กันก็คือเงินที่ได้จากการขายสลากเลขท้ายเป็นเงินทุนมาพัฒนารัฐ เป็นโอกาสทางการศึกษาส่งเด็กนักเรียนยากจนไปเรียนเมืองนอก อาชญากรรมที่ว่ากันว่าจะมีมากขึ้น เราก็เห็นว่ามูลเหตุหลักๆก็ยังเป็นธุรกิจที่อยู่ใต้ดิน เช่น ตามล่าลูกหนี้พนันบอล บ่อนลอยฟ้า เป็นต้น ผู้เขียนเห็นว่าตัวอย่างจากสลากเลขท้ายก็จัดว่าเป็นต้นแบบในการตั้งบ่อนกาสิโนของรัฐได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้หลักการในการตั้งบ่อนของรัฐจะต้องชัดเจนว่าเป็นไปเพื่อจัดให้มีสถานบันเทิงและเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ
อนึ่งขอให้เทียบกับการขาดโอกาสทางเศรษฐกิจกรณีเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่เบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ได้ก็เพราะมีกระแสสังคมออกมาต่อต้านเนื่องจากเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ขัดต่อศีลธรรมของประชาชนโดยอ้างว่าหากให้ยอมให้เข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วจะทำให้เบียร์ถูกลงแล้วก็จะส่งผลให้คนดื่มกันมากขึ้น วันนี้เบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ผลก็คือเบียร์ช้างยังคงสามารถมากระจายหุ้นให้แก่คนไทยในประเทศไทยได้โดยผ่านนายหน้าสิงคโปร์ สิ่งที่เสียไปคือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติ ตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ได้ค่าธรรมเนียม โบรคเกอร์สิงคโปร์ยิ้มรับเงินอย่างสบายใจ หลักทรัพย์(สินค้า)ที่ควรจะอยู่ในตลาดไทยก็ไม่ได้อยู่ ย้อนกลับมาถามว่าทุนของเบียร์ช้างมันเพิ่มขึ้นหรือไม่ แล้วเบียร์ช้างจะขยายการผลิตได้หรือเปล่าคำตอบคือได้เพราะในส่วนผลประโยชน์ของเบียร์ช้างมันเท่าเดิมแต่ส่วนผลประโยชน์ชาติมันหายไป กล่าวรวบยอดก็คือรัฐบาลไทยควรจะมองการพนันว่าเป็นสันทนาการอย่างหนึ่ง เป็นกิจกรรมที่มีโทษแต่ก็มีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน รัฐควรเข้าจัดการโดยถือว่าเป็นภาระของรัฐที่จะเข้าควบคุมและบริหารจัดการ ดังจะเห็นได้จาก พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ไม่ได้เป็นบทบัญญัติที่เป็นเครื่องมือในการ “ปราบปราม” การพนันให้หมดไป แต่กลับเป็นบทบัญญัติที่เข้าทำการ “ควบคุม” โดยให้อำนาจตำรวจและคณะรัฐมนตรีในการพิจารณาให้อนุญาตเล่นการพนัน ดังนี้แล้วเมื่อพระราชบัญญัติดังกล่าวเองก็มิได้มีเจตนาในการปราบปราม รัฐก็ควรนำพระราชบัญญัตินี้มาอนุวัฒน์ให้เข้ากับยุคปัจจุบันที่ “ทุน คือความมั่นคงของชาติ” การรักษาทุนให้หมุนเวียนอยู่ในชาติก็เหมือนกับกองทัพที่มีกำลังพลเป็นรั้วของชาติ ผู้เขียนไม่อยากให้เข้าทำนองที่ว่า “มือถือสากปากถือศีล” อันจะสังเกตได้จากปัญหาที่เกิดจากการพนันก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ทุกวัน การพนัน ผู้มีอิธิพล ผู้มีสี นักเลงคุมบ่อน นักเสี่ยงโชคก็ยังเป็นกลุ่มที่ยังขลุกอยู่ในวงการนี้ ส่วนประเทศไทยก็ต้องกินน้ำใต้ศอกประเทศเพื่อนบ้านต่อไป [1] นิสิตมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
[2] นันทวัฒน์ บรมานันท์,สัญญาทางปกครอง ,สำนักพิมพ์วิญญูชน, พ.ศ.2546
[3] ที่มา สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล http://www.glo.or.th/detail.php?link=revenue
[4] เอกสารประกอบการรายงานผลการวิจัยของรองศาสตราจารย์ ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ เรื่อง เศรษฐกิจการพนัน : ทางเลือกเชิงนโยบายศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มปท.

No comments: