17 October 2007

Salamat Hari Raya!




Salamat Hari Raya!

ตอนนี้เป็นช่วงเทศกาล Hari Raya ครับ เป็นช่วงที่คนมุสลิมจะเฉลิมฉลองหลังจากที่ถือศีลอดมานานกว่าหนึ่งเดือน สภาพก็คล้ายๆกับช่วงเทศการสงกรานต์บ้านเราละครับ คนในเมืองก็จะกลับบ้านเกิดไปหาญาติพี่น้อง บ้างก็ออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ผมก็ถือโอกาสพักผ่อน ไปเที่ยวกับเพื่อนๆในกลุ่ม ซึ่งนี้ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่กลุ่มของเราไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน กลุ่มของผมจะประกอบไปด้วยชาย ๔ หญิง ๕ เป็นญี่ปุ่นเสีย ๖ จีนมาเลย์ ๒ และไทย ๑ ดังนั้นก็ไม่ต้องสงสัยครับ ภาษาที่ใช้กันส่วนใหญ่ก็เป็นอังกฤษคำญี่ปุ่นคำ ไปเที่ยวด้วยกันคราวนี้ทำให้คิดว่าตัวมาอยู่มาเลย์คงจะพูดญี่ปุ่นได้ก่อนมาเลย์เป็นแน่แท้ สำหรับเรื่องแผนการเที่ยวส่วนใหญ่เพื่อนๆเป็นคนจัดการครับ หน้าที่ของผมมีอย่างเดียวคือ จ่ายตัง โดยเพื่อนๆยกให้ผมเป็นตากล้องประจำกลุ่ม(คงเพราะบ้าเห่อกล้องใหม่มากไปหน่อย)

Cameron Highlands ก็เหมือนกับไปเที่ยวเชียงรายละครับ อากาศที่นั้นเย็นสบาย ไม่อบอ้าวเหมือน KL (คิดว่าน่าจะอยู่ราวๆ ๑๘-๒๕) ทั้งนี้เป็นเพราะอยู่บนที่สูงประมาณพันห้าร้อยเมตรเหนือน้ำทะเล การที่ได้มาอยู่ในพื้นที่อากาศเย็นๆ นี้ทำให้คลายความเครียดไปได้เยอะครับ สถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า สวนผัก ไร่ชา ฟาร์มผีเสื้อ โชคดีที่กลุ่มของผมได้ชื้อทัวร์เดินป่าไว้ ผมเลยได้มีโอกาสไปสัมผัสป่ามาเลย์เสียที มาเดินป่าคราวนี้นับว่าทรหดที่สุดแล้วละครับ ฝนก็ตก ป่าก็ดิบมากๆ ด้วยความรกของป่าและความชื้น เวลาเดินก็ต้องระวังเป็นอย่างมาก แว่นที่ผมใส่จะขึ้นฝ้าตลอด ผมเพิ่งรู้ว่าป่าดงดิบมันมีกลิ่นของมันอยู่ เป็นกลิ่นเหม็นเน่าของซากพื้นที่อยู่ด้านล่าง นอกจากนั้นตลอดทางก็เจอไม้แปลกๆ อีกทั้งแมลงที่ไม่เคยเห็นอีกมาก ทำให้การเดินป่าของเราเพลิดเพลินไปกับความแปลกใหม่ครับ เป้าหมายของเราคือไปหาดอกไม้ The Rafflesia

ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเดินกันกว่า๓ชั่วโมงโชคดีที่เราเจอสองดอกติดๆกัน แต่แปลกที่ว่ามันไม่ได้มีกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพอย่างที่หนังสือบางเล่มบอกไว้ หรืออาจเป็นเพราะว่าจมูกผมมันชินกับกลิ่นเหม็นไปแล้วก็ไม่รู้ กระนั้นเมื่อได้เจอก็ทำให้เราได้ภูมิใจว่า ครั้งหนึ่งเราก็เคยมาสัมผัสดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในบรรยากาศป่าดงดิบนะ เฮอออ....

03 October 2007

พม่าบุก

อยู่มาเลย์มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วเสียจริงๆ ความเป็นอยู่ตอนนี้ก็ลงตัวเกือบหมดแล้วละครับ ทั้งที่อยู่อาศัย เพื่อน แล้วก็การใช้ชีวิต วันๆก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับเพราะว่าเริ่มเรียนหนักขึ้นแล้ว เวลาว่างส่วนใหญ่เลยหมดไปกับการค้นคว้าหาข้อมูล โดยเฉพาะผมเองนั้นเจอปัญหาใหญ่เพราะว่าไม่ได้จบมาตรงกับสาขาที่เขาเรียนกัน ให้มาทำความเข้าใจกับเศรษฐศาสตร์มหภาคก็พอทำเนาอยู่ แต่พอเจอการวิเคราะห์แบบจุลภาคเข้าไปถึงกับหงายเก๋งไปเลยละครับ กราฟก็อ่านไม่เป็น ไม่ได้จับมาตั้งแต่ม.3 แล้ว ศัพท์ที่ใช้ก็เป็นศัพท์เฉพาะซึ่งผมไม่มีพื้นฐานอยู่เลย ดังนั้นหากจะให้ประเมินเรื่องการเรียนตอนนี้ก็จัดว่าเหมือนหัดเดินก็คงไม่ผิด
สัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็นที่ผมสนใจเป็นพิเศษจะมีอยู่สองเรื่องคือ เรื่อง Globalisation กับเรื่องการเมืองในพม่า วันนี้ขอกล่าวถึงการเมืองในพม่าก็แล้วกันครับ เพราะมีเพื่อนพม่าที่เรียนอยู่ด้วยกันอยู่กลุ่มหนึ่ง พม่าใช่ว่าจะมีแต่คนหัวโบราณนะครับ จริงๆแล้วเขาก็มีทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพอยู่มากที่เดียว เสียแต่ว่าคนเหล่านั้นต่างอาศัยอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลก สังคมพม่าคงเปรียบได้กับเมืองไทยสมัยเผด็จการทหารในยุคจอมผลต่างๆ ถืออำนาจและพวกพ้องเป็นหลัก สิ่งที่เขาพัฒนาระบบเผด็จการของเขาคือทำให้คนส่วนใหญ่เป็นทหาร เพราะเมื่อได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารแล้วก็มีอำนาจบาตรใหญ่ขึ้นมาเลยทีเดียว ทหารชั้นประทวนสามารถกินข้าวฟรีได้ไม่ต่างกับตำรวจเมืองไทยบางนาย อยากได้อะไรก็ขอเอาได้เลย เมื่อคนส่วนใหญ่เป็นทหาร สังคมก็พัฒนาไปแบบทหาร ไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง(ที่อาจจะเป็นประชาธิปไตย) สิ่งที่น่ากลัวสำหรับพม่าอาจไม่ใช่มีเพียงแต่ทหารที่ทรงอำนาจ ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศผู้ลงทุนรายใหญ่อย่าง จีน สิงคโปร์ อินเดีย ฯลฯ ก็เป็นฝันร้ายสำหรับชาวพม่าเช่นกัน เพราะประเทศเหล่านี้ต่างก็มีผลประโยชน์มากมายทับซ้อนอยู่กับรัฐบาลทหาร หากรัฐบาลล้มความเสี่ยงก็จะเกิดขึ้นกับโครงการต่างๆของประเทศเหล่านี้ แต่ถ้ามองในมุมของชาวพม่า ทรัพยากรของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นของกลุ่มทหารเพียงกลุ่มเดียว ชาวพม่าควรได้รับประโยชน์จากการลงทุนอย่างคุ้มค่าที่สุด ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย เช่น ไนจีเรีย มีน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติอยู่แยะ แต่คนไนจีเรียก็ยังจนอยู่ เวเนซูเอล่า ก็เหมือนกัน คนรวยมีแต่ผู้นำประเทศกับนักการเมือง อย่างไรก็ตามผมมองในมุมของคนไทย พอวิจารณ์เขามากๆ มองดูเมืองไทยแล้วประวัติศาสตร์เราก็ไม่ต่างกัน ผู้นำก็ไม่ได้ยึดหลักกติกาบ้านเมืองเท่าไร ไม่เชื่อลองนับจำนวนรัฐธรรมนูญที่ถูกฉีกดูซิครับ