15/9/2007, 9:18 AM
เมื่อวาน(14 ก.ย. 50) ตื่นเช้ามาลงไปโรงอาหารหอถึงกับมึน เพราะแปดโมงกว่าแล้วโรงอาหารยังปิดหมดทุกร้าน สาเหตุหรือครับ ก็เนื่องจากเป็นเทศกาลรอมาฎอน ชาวมุสลิมจะถือศีลอด ไม่ทานอาหารตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตกเลยละครับ ผมก็ตกใจซิตอนแรกไม่รู้นิว่าจะเริ่มวันนี้ แล้วทำไงได้ละครับอาหารก็ไม่มีตุนไว้ อดกินข้าวไปครึ่งวันโชคดีที่ตอนเที่ยงๆมีร้านอาหารเปิดบ้างเลยพอเอาตัวรอดมาได้
ช่วงนี้ยังไม่มีการเรียนการสอน ผลเลยถือโอกาสออกไปเที่ยวใน KL คนเดียวเป็นครั้งแรก นั้งรถเมล์ไปต่อรถไฟฟ้า สะดวกดีเหมือนกันนะครับ เสียแต่ว่าระบบป้ายบอกสัญญาณ กับภาษาที่เขาใช้บางทีมันมีแต่ มาเลย์กับจีน ไม่มีภาษาอังกฤษ ก็เลยต้องถามไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ ผมก็ไปดูตึกเปโตรนาสตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก(แหง ดิ ก็ บินลาเดนมันถล่มWTCไปแล้วนิ) แต่ก็อยู่ได้แต่ข้างล่างละครับ เดินเล่นในศูนย์การค้าได้อารมณ์เหมือนเดินในสยามดิส ผมว่ายังเอามาเทียบกับพารากอนหรือเอ็มโพบ้านเราไม่ได้หรอกครับ ของเราดีกว่าหลายขุมนัก มันสะดวกหน่อยตรงที่รถไฟฟ้าใต้ดินผ่านใต้ตึก ไม่ต้องเดินออกไปนอกตึกให้เสียเวลา จริงๆแล้วที่มาเดินเปโตรนาส(KLCC) ก็เพราะว่านัดกับ Dato Latt (ต่อไปจะเรียนว่าพี่แลต) ไว้ ผมกับพี่แลตรู้จักกันมากว่าเจ็ดปีแล้ว ตั้งแต่ผมยังเป็นนักเรียนอยู่วชิราวุธฯ ตอนนั้นกลับจากทุนพระยาปรีชานุสาสน์(Shrewsbury School)ใหม่ๆ โรงเรียนเลยให้ไปรับแขกต่างชาติ ผมกับพี่แลตสนิทกันมากเรียกว่าเกือบทุกครั้งที่พี่เขามาเมืองไทยเราต้องหาเวลานัดกัน หรือไม่ก็โทรคุยกัน ระหว่างที่รอพี่แลตผมไปเดิน Kinokuniya หา lonely planet มาอ่าน หนังสือที่นี้ถูกมากเพราะรัฐบาลเขาไม่เก็บภาษีกระดาษ/หนังสือ เพื่อจะส่งเสริมให้คนซื้อหนังสืออ่าน ผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่ดีมากเลยละครับ เพราะเมื่อหนังสือราคาถูกก็เท่ากับว่าประชาชนจะสามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้น หลังจากซื้อหนังสือแล้วก็มาหามุมดีๆใน food court อ่าน ไปจิบกาแฟไป มีความสุขจริงๆ
พี่แลตส่งรถมารับเป็นรถประจำตำแหน่งมีตราวีไอพีติดข้างหน้าอีกตั้งหาก แถมจอดหน้าห้างที่เข้าห้ามคนทั่วไปจอดได้อีกด้วย ตอนแรกก็รู้สึกประหม่าอยู่เหมือนกัน เอาละไหนๆก็มาแล้ว รถก็วนมารับพี่แลตที่โรงแรมแห่งหนึ่ง จากนั้นพี่แลตก็บอกว่าจะพาไปพบกับท่านทูต ผมก็นึกในใจว่า ดีละจะได้ให้พี่แลตฝากฝังให้ อีกทั้งเราก็ยังไม่ได้มารายงานตัวต่อสถานทูตตามใบสั่ง ก.พ. ด้วย รถก็วนไปวนมา มาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง สังเกตสิ่งผิดปรกติคือธงหน้าบ้านมันมีสามสีนิ แถมคนยังเต็มบ้านอีกด้วย ทุกคนแต่งกายอย่างเรียบร้อย ผู้หญิงก็สวมชุดราตรี ส่วนคุณผู้ชายก็สวมเสื้อนอกสีดำ แต่ปลดกระดุมคอ ส่วนผมสวมเสื้อเชิตแขนสั่นกางเกงยีน มารู้จากพี่แลตอีกทีว่าคืนนี้ท่านทูตอิตาลีเชิญทูตนานาชาติกับนักธุรกิจที่สำคัญมาเลี้ยงอาหารเย็น ทำเอาผมอึงไปเลย ตอนแรกก็ทำอะไรไม่ค่อยถูกได้แต่ยืนยิ้ม พอถึงเวลานั่งโต๊ะอาหารเขาจัดชื่อและที่นั้งไว้หมดแล้ว ผมก็ไปนั่งในตำแหน่งภรรยาพี่แลต(ซึ่งไม่ได้มาในวันนี้) ด้านซ้ายเป็นทูตชิลี ด้านขวาเป็นทูตไอแลนด์ ถัดไปเป็นนักธุรกิจมาเลย์อีกสองท่าน และก็นักธุรกิจอินเดีย ส่วนพี่แลตหรือครับ นั่งถัดไปอีกสองโต๊ะ แถมหันหลังให้กันอีก โอ้.. เหมือนโดนแกล้ง ตอนแรกก็ไม่มีใครคุยด้วยและก็ไม่รู้จะคุยกับใคร เพราะเรื่องที่คุยกันส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับโครงการใหญ่ๆ การลงทุน นโยบายเศรฐกิจของมาเลย์ อะไรทำนองนี้ ทุกคนมีส่วนได้เสียกันหมด ยกเว้นผมซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลย แต่แล้วท่านทูตไอแลนด์(ท่านยูจิน) ก็ถามว่า "แล้วเราละ มาอยู่ตรงนี้ได้ไง" เพราะท่านก็คงงงว่าทำไมคนไทยมากับ รมช.มาเลย์ (แต่ทูตไทยไม่มา) ผมก็พยายามบอกว่าผมได้รับทุนรัฐบาลมาเรียนแล้วพอดีรู้จักพี่แลต เลยถูกลักพาตัวมา
ท่านทูตยูจินคุยสนุกมากท่านเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ไอริชให้ฟัง แล้วก็ชีวิตในวัยเรียนของท่านที่ประเทศไอแลนด์ เรื่องที่ผมประทับใจมากคือ ตอนที่ท่านเรียนโทอยู่ ท่านมีอาจารย์เป็นชาวอังกฤษซึ่งมีบุคลิกแบบคนอเมริกัน สูบบุหรื่ในห้องเรียน ชอบมองผ่านปลายจมูกทำให้ดูยิ่ง โดยรวมคือทำเอานักเรียนขวัญเสียได้ในบางครั้ง วันหนึ่งท่านเข้าไปเสนอวิทยานิพนธ์กับอาจารย์ผู้นี้ ท่านอ่านผ่านๆแล้วบอกว่าการอ้างอิงยังไม่ดี ไม่เป็นวิทยานิพนธ์ที่มีลักษณะทางวิชาการ ในขณะที่ท่านทูตจะเถียงว่าก็อ้างอิงมาเยอะแล้วนิ อาจารย์ก็ตัดบทว่า "ผู้เขียนหนังสือที่คุณอ้างแม้จะเป็นศาสตราจารย์ แต่เขาไม่ได้เป็นนักปราชญ์"(He may be a professor, but he isn't a scholar.) คำนี้แหละครับที่ผมชอบมาก เพราะการเป็นนักปราชญ์นั้นต่างกับศาสตราจารย์หลายขุมนัก ผมกับท่านทูตยิ่งคุยยิ่งสนุกคอ เราแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมืองในประเทศไทย(เพราะท่านก็เป็นทูตประจำประเทศไทยด้วย) การเลือกตั้ง พระมหากษัตริย์กับการปกครอง การปฏิวัติ ฯลฯ พินิจแล้วท่านคงจะติดใจผมมากขนาดที่ให้ผมนัดท่านทานข้าวเย็นด้วยกันอีก ท่านว่าจะเล่าประวัติศาสตร์การเมืองในยุโรปให้ฟังและจะแถมให้ด้วยว่าทำไมการเมืองไทยจึงประสบปัญหา
หลังจากทานอาหารเสร็จก็มาจับกลุ่มคุยกับคนอื่นๆอีก นับว่าเป็นการออกงานในมาเลย์ครั้งแรกที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน แต่ก็ไม่เลวทีเดียวนะครับ เพราะนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่แลต surprise แบบนี้ แต่คราวนี้ต้องติจริงๆว่าน่าจะบอกกันหน่อยนะ จะได้แต่งตัวให้มันเหมาะสมกว่านี้ เอาละอย่างไรก็ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้เจอผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้(แม้จะนุ่งกางเกงยีนก็ตาม)
1 comment:
ไปถึงไม่กี่วันก็ได้ออกงานในกางเกงยีนส์ซะแล้ว ยินดีด้วยนะน้อง
จะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่บ้างมั้ย จริงๆ มันก็ไม่กี่สตางค์นี่นะ แอร์เอเชียไปกลับมาเลย์ไทยถูกจะตาย ถ้ากลับไทย ซื้อชา Boh มาฝากด้วย
ปลายปีนี้พี่วางแผนจะไปเที่ยวปีนัง ไปด้วยกันมะ มะละกาก็น่าเที่ยวนะ พี่ยังอยากไปอีกหน
Post a Comment